หนึ่งบทความจากหนังสือ POSITIVE FEELING มหัศจรรย์ ความรู้สึกบวก
“ขณะที่รถรับพระสงฆ์เดินทางมาถึงงานขึ้นบ้านใหม่ของผม
ซึ่งทำพิธีเวลาประมาณ
10.00 น. ใจหนึ่ง ก็รู้สึกยินดีและเป็นมงคล
อีกใจหนึ่งก็รู้สึกกังวลที่ผู้รับเหมาจัดเลี้ยงอาหารยังมาไม่ถึง จนกระทั่งเวลา
10.30 น. ผมได้โทรศัพท์ตามผู้รับเหมาจัดเลี้ยงอาหารอีกครั้งหนึ่ง
เพื่อขอให้เดินทางมาโดยเร็ว เพราะพระสงฆ์จะต้องฉัน เพล เวลา 11.00 น.
ขณะที่แขกเหรื่อที่เชิญมาร่วมงานอีก 200 คน ก็ต้องเลี้ยงอาหารกลางวัน เวลา 12.00
น. ผมได้รับคำตอบจากผู้รับเหมาจัดเลี้ยงอาหารว่า
ให้ใจเย็นอีกสักนิดหนึ่ง เดี๋ยวก็มาถึงแล้ว แต่ปรากฏว่าเมื่อ พระสงฆ์ใกล้จะทำพิธีเสร็จ
ก็ยังไม่เห็นรถจัดเลี้ยงอาหารมาถึง ผมจึงขอให้ญาติรีบออกไปซื้ออาหารจานด่วน
เพื่อเตรียมเลี้ยงพระ จนกระทั่งเวลา 11.45 น.
จึงเห็นรถผู้รับเหมาจัดเลี้ยงอาหารมาถึงและเริ่มจัดอาหาร ขณะที่พระสงฆ์ฉันอาหารที่ซื้อมาเรียบร้อยแล้ว
ส่วนแขกที่เชิญมาร่วมงานก็ต้องนั่งรอจนกว่าจะจัดอาหาร เรียบร้อย
และแขกบางท่านก็ทยอยกลับไปก่อน
ผมรู้สึกเสียความรู้สึกและเสียหน้ามากที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ทั้ง ๆ
ที่เมื่อตอนติดต่อสั่งอาหารจัดเลี้ยง ผมขอให้ส่งอาหารถึงบ้าน เวลา 09.30 น. ผมต่อว่าผู้จัดเลี้ยงว่าเขาไม่รับผิดชอบทำให้งานมงคลขึ้นบ้านใหม่ผมเสียหาย
ผู้รับเหมาไม่ขอโทษผมที่เขาทำผิดพลาดและไร้ความรับผิดชอบ
แต่กลับพูดกับผมว่า ไม่เป็นไร ค่ะ ดิฉันมองบวกค่ะ ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันมองบวกค่ะ
คุณเองก็ควรมองบวกด้วยเช่นกันค่ะ พระสงฆ์ฉันหลังเที่ยง วันนิดหน่อยก็ไม่เป็นไรค่ะ
มวงบวกค๊ะ” นั่นคือเหตุการณ์ที่กัลยาณมิตรของผู้เขียนคนหนึ่งเล่าให้ฟัง
ภายหลังจากงานขึ้นบ้านใหม่ และถามผู้เขียนด้วยคำถามว่า “เหตุการณ์ดังกล่าว เป็นการมองบวกหรือไม่?, มองบวกได้อย่างไร?,
การไร้ความรับผิดชอบแล้วบอกว่ามองบวกเหมาะสมหรือไม่?, การมองบวกกับการหลอกตัวเองต่างกันอย่างไร?,
เกณฑ์ชี้วัดการมองบวกคืออะไร?” เหตุการณ์และคำถามดังกล่าว
ผู้เขียนเห็นว่าเป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก เพราะปัจจุบันมี การพูดเรื่องการมองบวก
หรือมองโลกในด้านดีกันมากขึ้น ทั้งการเขียน การพูด แต่ส่วนใหญ่นักเขียนและ
วิทยากรมักจะยกแต่ตัวอย่างเหตุการณ์ที่มองด้านบวก
ไม่ค่อยพบการอธิบายถึงเกณฑ์ชี้วัดการมองบวก ผู้เขียน จึงได้คิดหาแนวทางเรื่องเกณฑ์มองบวกที่ควรคำนึง จึงได้ข้อสรุปเป็นหลักคิด 5 ส. เพื่อการมองบวก นั่นคือ
การมองบวกต้องประกอบด้วย การมีสติสัมปชัญญะ สมาธิ สมเหตุผล สร้างสรรค์
และสร้างมิตร โดยมี รายละเอียดดังนี้
- สติสัมปชัญญะ การมีความระลึกได้ และรู้ตัวทั่วพร้อมต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ ในชีวิต จะช่วยให้เกิด ปัญญาพิจารณาเหตุการณ์ต่าง ๆ ในด้านดีและมีความรับผิดชอบ ไม่เดือดร้อนแก่ตนเองและผู้อื่น จะช่วย แยกแยะระหว่างการมองบวกกับการหลอกตนเองออกจากกัน
- สมาธิ การมีสมาธิ หมายถึงเมื่อสถานการณ์ใด ๆ ในชีวิต แล้วมีความตั้งใจ ใส่ใจ สนใจในสิ่งที่กำลังทำจะช่วยให้เกิดการใคร่ครวญ ดูรายละเอียดต่าง ๆ ของงานให้รอบด้านนำมาสู่ความรับผิดชอบและ ระมัดระวังไม่ให้เกิดความผิดพลาดและเสียหายทั้งต่อตนเองและผู้อื่น
- สมเหตุผล การวิเคราะห์สถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตให้สมเหตุผล โดยดูว่า อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นผล อะไรสัมพันธ์กับอะไร และอะไรไม่สัมพันธ์กับอะไร และเหตุผลนั้นอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง และความรับผิดชอบต่อตนเอง ผู้อื่น และสังคมด้วยหรือไม่อย่างไร
- สร้างสรรค์ การมองสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตอย่างสร้างสรรค์ หมายถึง การไม่ทุกข์ระทมตรมใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่มองเห็นประโยชน์ มองเห็นโอกาส มองเห็นความหวัง มองเห็น ความหมายที่ดีงาม และมองเห็นคุณค่าในเหตุการณ์ที่เกิดแล้วหรือยังมาไม่ถึง
- สร้างมิตร การกระทำใด ๆ หรือเหตุการณ์ใด ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตแล้วส่งผลให้คนเรา มีวิธีคิด วิธีพูด วิธีทำที่ส่งผลต่อการสร้างความสัมพันธ์ทั้งส่วนตัว ครอบครัวและสังคมได้ สิ่งนั้นถือว่าเป็นการมองบวก
เพราะฉะนั้นจากเหตุการณ์ตัวอย่างที่น าเสนอมาตอนต้น
คือการส่งสินค้าไม่ทันตามกำหนดเวลา แต่บอกว่าเป็น การมองบวก
และยังชวนผู้รับบริการให้มองบวกด้วยนั้น เป็นการมองบวกหรือไม่คงต้องใช้หลักการ 5
ส. ของ การมองบวกมาเป็นเกณฑ์วิเคราะห์
นั่นคือเหตุการณ์ดังกล่าวอยู่บนพื้นฐานของการมีสติสัมปชัญญะ สมาธิ สม เหตุผล สร้างสรรค์
และสร้างมิตรหรือไม่ หากสอดคล้องกับหลักการ 5 ส. ที่ว่าก็น่าจะเป็นการมองบวก
แต่หาก ไม่สอดคล้องก็คงจะเป็นการหลอกตัวเองโดยใช้กลไกทางจิตที่ทำให้ตัวเองสบายใจขึ้นชั่วคราวเท่านั้น
ขณะที่นักธุรกิจท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่า บ้านอยู่กรุงเทพฯเมื่อครั้งที่น้ำท่วมหนักและยาวนานที่ผ่านมา จึงพยายาม
มองเหตุการณ์ดังกล่าวในด้านดี
คือมองเห็นเป็นโอกาสที่ได้พิสูจน์ความอดทนและช่วยเหลือคนอื่น ๆ ที่ทุกข์ ร่วมกัน
และยังเป็นโอกาสทางการตลาดที่จะได้จำหน่ายเครื่องกรองน้ำให้กับครอบครัวที่มีกำลังซื้อและบริจาค
เครื่องกรองน้ำให้กับวัดและสถานพักพิงของผู้ลี้ภัยน้ำท่วมด้วย อย่างนี้น่าจะเข้าได้กับหลักการ 5 ส. ของการ
มองบวกมากกว่าตัวอย่างแรกที่ส่งอาหารไม่ทันแล้วพูดว่ามองบวก การมองบวกหรือมองโลกด้านดีนั้นสำคัญ ต่อชีวิตและสังคมมาก
เพราะในโลกของความจริงเรามิอาจควบคุมชีวิตและสังคมให้เป็นไปตามที่เราต้องการได้
อย่างสมบูรณ์ เพราะสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป
แต่การมีจิตใจที่ดีงามและสงบสุขด้วยการมองโลกด้านดีอย่างเหมาะสมและถูกต้องจะช่วยให้จิตใจอิ่มเอิบเบิก
บานได้อย่างแท้จริง
ผู้แต่ง : วุฒิพงศ ์
ถายะพิงค์
อ่านฟรีที่นี่ โดยค้นหาจากชื่อตามสารบัญ
ภาคที่ 1 ความสำเร็จจากการสร้างพลังความรู้สึกบวกด้วยจิตวิทยา
- รู้สึกอย่างไรได้อย่างนั้น - ความทรงจำที่ชื่นใจ
- พลังรักพลังใจ - เขย่าความฝัน
- บาดาลใจ - เอาใจเราไปใส่ใจเขา
- ตั้งเป้าให้เข้าถึง - ความอุ่นใจ
- ความรู้คู่ความรู้สึกบวก - คลายทุกข์ด้วยการรับฟัง
ภาคที่ 2 ความสำเร็จจากการสร้างพลังความรู้สึกบวกด้วยการปรับมุมมอง
- มองบวกหรือหลอกตัวเอง
- ขาดทุนสองทอด
- แม้ลมหายใจยังรู้สึกผิด
- โอกาสและความหวัง
- สุขจากใจ
- คิดนอกกรอบ
- เรียนรู้อะไรจากภัยน้ำท่วม
- คนสำคัญที่ไม่สำคัญ
- เผลอใจรัก
- แยกแยะช่วยแก้ไข
- แยกแยะช่วยเยียวยา
- ห้าก้าวสร้างพลังใจ
- ค้นหาความดี
ภาคที่ 3 ความสำเร็จจากการสร้างพลังความรู้สึกบวกด้วยศาสนา ปรัชญา
- ดับทุกข์ด้วยพุทธธรรม
- อำนาจน้ำหรือจะชนะอำนาจใจ
- ธรรมดาที่ไม่ธรรมดา
- อดีตมีไว้ขมขื่นฤาเรียนรู้
- ยุติธรรมยุติภัย
- น้อมเข้าหาตน
- ความมั่นคงทางใจ
- โอหัง โอ้อวด อัตตาสูง
- ไม่จริง! ไม่เชื่อ! ไม่ใช่!
- เปี่ยมสุขทุกลมหายใจ
- สุขใจจากความจริง
- บทสรุป คุณค่าของพลังความรู้สึกบวก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น